คำเตือนสำหรับผู้คัดลอก

เนื่องจากมีผู้คิดคัดลอก บทความบางส่วน หรือ บทความทั้งหมด จากเว็บบล็อก http://mountainbikedetail.blogspot.com/
ผู้ที่คัดลอกต้องแสดงการอ้างอิง หรือ ให้ลิงค์กลับมายัง เวบบล็อก ของเราหรือแสดงความจำนงที่จะนำบทความไปใช้ โดยแจ้งผ่านทางอีเมล์ หรือ ทางแฟนเพจ

มิฉะนั้น ทางเราจะแจ้งดำเนินคดี ฟ้องร้องการละเมิดลิขสิทธ์

วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Top 7 จักรยานเสือภูเขาประเภท Hardtail 2017 จัดตามความนิยมผู้อ่าน Singletracks

โฆษณา

โพลจากเว็บ Singletracks ออกมาแล้วสำหรับ Top 7 Hardtail Mountain Bikes 


เช่นเดียวกับจักรยานเสือภูเขาที่มี full suspension โช้คอัพหน้า-หลัง เป็นจักรยานที่เต็มไปด้วยสมรรถนะ ซึ่งสำหรับเสือภูเขาประเภท Hardtail Mountain Bikes นี้จะใช้ข้อดีทางด้านของราคามาสู้ หากท่านต้องการไปอย่างรวดเร็วและเบา? มีน้ำหนักราวๆ 20 ปอนด์ หรือราวๆ 10 กิโลกรัม (เฟรมคาร์บอนไฟเบอร์) สำหรับการแข่งรถ? ก็เลือกหนึ่งในบรรดาจักรยานเสือภูเขา hardtails ทั้งหมดที่ใช้โช้คอัพขนาด 140-160 มม. ได้เลย

สำหรับบางคนแล้วอาจจะดูเหมือนว่าต้องกัดฟันทนกับการใช้เสือภูเขาแบบ Hardtail ไปใช่ไหม? เพราะงบประมาณที่มีจำกัด และอาจจะเป็นมือใหม่หัดปั่นซึ่งต้องการเรียนรู้จักรยานเบื้องต้นไปก่อนเนื่องจากไม่มีระบบโช๊คอัพหลังมาให้กังวลใจ แล้วถ้าไม่ใช่ทางที่ชอบก็สามารถขายต่อหรือปั่นไปเที่ยวนิดหน่อยก็ไม่เสียดาย แต่สำหรับบางคนแล้ว การใช้เสือภูเขาประเภทนี้เป็นความชอบส่วนตัวล้วนๆไม่มีเหตุผลอื่น บางคนก็มีครอบครอง 2-3 คัน ทั้งๆที่สามารถซื้อแบบ Full ได้แต่ก็ไม่เอา นี่ก็คือความชอบ

และนี่ก็คือ top 7 จักรยานเสือภูเขาแบบ hardtails ของปี 2017

7. Trek X-Calibre: $ 930 - $ 1,580


Trek X-Calibre เป็นอะไรที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสำหรับ cross country hardtail. มันมีเฟรมอลูมิเนียมที่มีคุณสมบัติที่ทันสมัย เช่น Boost spacing และการเดินสาย internal dropper post routing เป็นพวกระบบสายต่างๆ (dropper post) เข้าไปภายในเฟรม
เจ้า X-Calibre นี้มีมา 5 ขนาด, 4 เฟรมที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ล้อ 29 "; ที่เล็กสุดก็เฟรม 15.5 นิ้ว ในล้อขนาด 27.5 นิ้ว สำหรับ chainstays (ระยะของความยาวตะเกียบหลัง) ทาง Trek ได้ตัดความยาวออกไปนิดหน่อยจะได้เห็นในตัวใหม่ปี 2018 แต่โดยรวมแล้ว geometry องศาทั้งหมดก็ยังคงใช้แบบ XC ใช้โช้คอัพขนาด 100 มม. และ Head Tube ในองศาที่ 69.3° ครับ

6. Specialized Rockhopper: $525-$1,400


Specialized’s Rockhopper วางจำหน่ายด้วยกัน 5 แบบครับ โดยเริ่มต้นที่ $525, ข้อดีคือทำให้สามารถเข้าถึงผู้ขับขี่ได้อย่างหลากหลายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย มันเป็นอะไรที่มากกว่า XC (หมายถึง cross country) และยิ่งกว่า X-Calibre ของ Trek สะอีก (เกทับกันน่าดู) ระยะยุบตัวของโช้คอัพหน้า 80 มิลลิเมตร และองศาของ Head Tube ที่ 71° ดังนั้นควรจะคำนึงถึงสถานที่ที่คุณจะปั่นด้วยเจ้า Rockhopper เพราะเนื่องจากทักษะที่ดีของนักปั่นแล้วจะช่วยส่งเสริมให้นักปั่นนั้นไปได้เร็วและดีกว่าจักรยานเสือภูเขารายอื่นได้อย่างง่ายดาย ถ้าคุณมีเส้นทางที่ขุรขระและคุณต้องการไปอย่างรวดเร็ว Rockhopper อาจเป็นเพียงตั๋วเท่านั้น

5. Trek Superfly: $1,520-$2,100


Superfly ได้เก็บเอาสิ่งที่ X-Calibre ไม่พัฒนาต่อมาใช้ เฟรอมก็ยังคงเป็นอลูมิเนียม แต่สิ่งแตกต่างกันก็คือ Superfly ยังคงใช้เทคโนโลยี Trek’s Alpha Platinum tubeset แต่ X-Caliber ใช้ Alpha Gold และความแตกต่างหลายอย่างตั้งแต่ยังเป็นตัวต้นแบบโมเดลไปจนถึงการสร้างออกมาจริงๆ อย่างที่คุณคาดหวังจากราคาที่สูงขึ้นเพราะมันก็มาด้วยฟังก์ชั่นหรือองค์ประกอบที่เกินคำบรรยายนั่นแหละ นอกจานี้ The Superfly ยัง seatpost ขนาด 27.2 ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำหรับการใช้ XC นั่นเอง

4. Specialized Epic: $1,900-$9,500


หากคุณต้องการใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยการบันทึกสถิติหรือถ่ายทำวีดีโอ Specialized Epic เป็นจักรยานที่เหมาะสมมากสำหรับคุณ อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องของราคาระหว่างรุ่นที่มีราคาแพงที่สุดและน้อยที่สุด แต่ Epic ทุกตัวเป็นรถแข่งแบบเต็มรูปแบบ
S-Works Epic Frame ที่มีน้ำหนักอยู่ที่ 875g รวมกับฮาร์ดแวร์อื่นๆด้วยนะ ทำให้มันเป็นเสือภูเขาที่น้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยไม่ว่าจะเป็นเสือภูเขาหรือ Road Bike

3. Santa Cruz Chameleon: $1,700-$2,350


Chameleon เป็นรุ่นที่แพงน้อยที่สุดในสายพานการผลิตของ Santa Cruz โดยเริ่มต้นการผลิตจากรุ่นล้อ 26 นิ้วมีระยะยุบตัวของโช้คอัพหน้าที่กว้างที่สุดด้วย ในปี 2014 Santa Cruz ได้ปรับปรุงอัพเดทเจ้า Chameleon ให้เป็นล้อขนาด 27.5 นิ้ว การรีเฟรชครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปีนี้เมื่อ Santa Cruz เปิดตัว Chameleon รุ่น 7 ซึ่งมีล้อขนาด 29 นิ้วหรือ 27.5 นิ้วพร้อมโช้คอัพ 120 มม. และรูปทรง geometry ที่ทันสมัยมากขึ้น

2. Kona Honzo: $1,400-$4,600


Kona Honzo มีการกำหนดเป้าหมายระยยาวในเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น โดยตอนแรกเป็นเพียงจักรยานเสือภูเขาเฟรมเหล็กแบบ Hardtail ราคาถูก และได้พัฒนามาเรื่อยๆจนกลายเป็นจักรยานที่มีหลายแพลตฟอร์มไม่ซ้ำกัน 5 แบบ
คุณสามารถเลือกซื้อ Honzo ในรูปแบบของเฟรมเหล็ก, ไทเทเนียม, อลูมิเนียมและตอนนี้ก็มีแม้แต่คาร์บอนไฟเบอร์ ในส่วนของ geometry ก็จะมีการออกแบบมาให้ใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็นความสูงความยาวองศาต่างๆ
Honzos ล้อขนาด 29 นิ้วที่มีระบบโช้คอัพหน้า 120 มม chainstays ที่ออกจะอวบๆสั้นๆ และมาพร้อมกับระยะเอื้อมที่ยาวมากๆ 475 มม ถ้าคุณชอบล้อใหญ่ๆ คุณสามารถสั่ง Big Honzo ได้ โดยเพิ่มเงินอีก $1800 สำหรับความต้องการพิเศษนี้

1. Trek Stache: $1,580-$4,700


ท่านทั้งหลายท่านคงจะชอบจักรยานเสือภูเขาฮาร์ดเทล (Hardtail) ของ Trek กันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ไม่ได้ประหลาดใจสำหรับเราที่จะมีคนโหวตให้ Trek Stache แซงหน้า Kona Honzo ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ได้ สำหรับจักรยานเสือภูเขารุ่นนี้ ไม่ใช่เพื่อการแข่งขันเท่านั้น แต่มันยังสามารถจะไปได้ทุกทางที่นักปั่นเจ้าของมันจะไป
Stache มี chainstays ที่สั้น, มีท่อบนที่ยาว, หัวท่อแบบ slackish head tube, มีล้อขนาดใหญ่มากว่า 29+  ซึ่งปัจจุบันนี้จะไม่ค่อยเห็นสักเท่าไหร่ จะมีเพียง Trek เท่านั้นที่ผลิตจักรยานเสือภูเขาล้อ 29+ หรือที่เราอาจจะเรียกกันว่า Fat Bike ครับ อาจจะพูดได้ว่า Trek ชอบเสนอสิ่งที่อยู่นอกกระแสหลักอยู่แล้ว

เช่นเดียวกับจักรยานอื่นๆ อีกมากมายในรายการนี้ Stache มีให้เลือกหลายราคาตั้งแต่รุ่นอลูมิเนียมสำหรับระดับเริ่มต้น ไปจนถึงคาร์บอนไฟเบอร์ และรุ่น Stache 9.8 ที่มาพร้อมกับล้อคาร์บอน

การโหวตนี้เป็นการจัดทำขึ้นของเว็บไซต์ Singletracks ครับ ซึ่งถ้าใครอยากจะดูรีวิวในแต่ละรุ่นหรือรายละเอียดมากกว่านี้ สามารถเข้าไปเพิ่มเติมได้ครับที่

https://www.singletracks.com/blog/mtb-gear/the-7-top-rated-hardtail-mountain-bikes-according-to-singletracks-readers/

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

มาอัพเกรดจักรยานเสือภูเขาของคุณให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ภายใต้งบประมาณไม่เกิน 3000 บาท

โฆษณา

มาอัพเกรดเสือภูเขาโดยการเปลี่ยนอุปกรณ์บางอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างไม่เกิน 3000 บาทกันดีกว่า


สำหรับจักรยานเสือภูเขาแล้วเมื่อใช้ไปสักระยะเวลาหนึ่งแน่นอนว่าอาจจะมีอะไหล่หรืออุปกรณ์บางอย่างที่มันชำรุด แต่สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการจะซื้อจักรยานใหม่หรืองบเงินเป็นก้อนเพื่อเปลี่ยนระบบเกียร์หรือเฟื่องใหม่ๆรุ่นสูง หรืออาจจะเปลี่ยนเฟรมคาร์บอนน้ำหนักเบา หรือเปลี่ยนล้อคาร์บอนสวยๆ สิ่งเหล่านี้เกินงบประมาณที่มีอยู่ใช่ไหม

ดังนั้นเราจะมานำเสนอ อุปกรณ์ 10 อย่างซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพของจักรยานของคุณ


อย่าได้ดูถูกอุปกรณ์เหล่านี้ที่เราจะแนะนำให้คุณอัพเกรดเพราะมันจะมีส่วนให้ทำให้การขับขี่ของคุณสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยงบประมาณ ชิ้นละไม่เกิน 3000 บาท (ชิ้นละนะครับ) มาเริ่มกันเลยดีกว่า

1. ยางจักรยานเสือภูเขาใหม่




แน่นอนว่าจักรยานจะต้องมียางมาให้ เมื่อเราซื้อเสือภูเขามาใหม่ก็ต้องมาพร้อมกับยาง แต่เนื่องจากยางเป็นอุปกรณ์ส่วนหนึ่งของจักรยานที่สัมผัสกับพื้น ดังนั้นยางที่คุณใช้สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากสำหรับการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

มีปัญหาสองประการที่อาจทำให้คุณต้องซื้อยางจักรยานเสือภูเขาใหม่:
1. คุณอาจจะใช้ยางผิดประเภทอยู่มันอาจจะไม่เหมาะกับสภาพพื้นผิวแถวบ้านคุณหรือในสนามที่คุณใช้เป็นประจำ เพราะว่ายางที่มากับรถจักรยานอาจจะมีคุณภาพต่ำ (เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัทเจ้าของแบรนด์หรืออะไรก็ตาม) และมักจะเป็นการเฉลี่ยโดยรวมว่าสถานที่ที่ลูกค้าจะนำไปใช้สามารถจะใช้ได้กับทุกๆที่

ในความเป็นจริง พื้นที่หนึ่งกับพื้นที่หนึ่งจะไม่อาจนำมาเฉลี่ยได้เลย เช่น องค์ประกอบของดิน, ระดับความชื้นและตัวแปรอื่นๆ ที่แตกต่างกัน บางทียางสต็อกที่มากับจักรยานเสือภูเขาอาจจะทำงานได้ดีสำหรับคุณก็ได้ แต่บางทีก็ต้องยอมรับว่าอาจจะไม่ หากคุณไม่มีดอกยางและยางที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่ของคุณถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับเปลื่ยนมัน

2. เมื่อสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าดอกยางได้สึกหรือใกล้จะลบเลือนไปหมดแล้ว

งบประมาณในการเปลี่ยนยางเส้นใหม่นี้ ถ้าคุณช้อปทางออนไลน์ คุณก็อาจจะได้ราคาที่ไม่ถึง 3000 พัน แต่ถ้าคุณต้องให้มีคุณภาพที่ดีหน่อยน้ำหนักเบา จะเกินงบ เราก็ไม่ได้ว่าคุณหรอก (แต่เกรดดีบ้านเราก็ราคาประมาณ 1,500 บาท

2. เปลี่ยนเป็น Tubeless



อย่างที่เราได้เคยกล่าวไปแล้วในบทความที่ผ่านมาสำหรับ Tubeless หรือการใส่ยางแบบไม่ใช่ยางในนั่นเอง ซึ่งมันก็มีข้อถกเถียงกันอย่างมาก เพราะบางคนก็ยังรู้สึกว่า ยางรถจะต้องมียางในสิ ถ้าไม่มียางในแล้วมันปลอดภัยหรือไม่ แต่...ในที่นี้ สำหรับคนที่ชอบปั่นบนภูเขาที่มีหินคมๆ เราแนะนำให้คุณลองเปลี่ยนมาใช้แบบ ไม่ยางในนี้ มันจะช่วยให้คุณไม่ต้องเสี่ยงกับยางรั่วเมื่อมีการกระทบโขดหรือแง่หิน

มันไม่สนุกหรอกที่เราจะต้องมาจูงรถเพื่อปะยาง หรือว่าขี่บดไปเรื่อยๆ ในกรณีที่แรงดันลมอ่อน Tubeless ก็ยังสามารถปั่นไปได้อยู่ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลามากนัก หรือ สำหรับบางคนที่ชอบปั่นจักรยานแบบลมอ่อนๆไม่ต้องแข็งมาก อันนี้ก็เหมาะมาก

3. เปลี่ยน Grips



ตามกฎทั่วไปส่วนประกอบบางส่วนที่สำคัญที่สุดบนจักรยานเสือภูเขาของคุณคือจุดติดต่อหรือสัมผัส - IE ซึ่งร่างกายของคุณจะสัมผัสติดต่อกับจักรยาน นอกจากนี้ยางที่กล่าวถึงใน # 1 และ # 2 ที่จะต้องมีการสัมผัสกับพื้นดินแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน

อย่างไรก็ตามจุดสัมผัสเหล่านี้มักถูกมองข้ามเมื่อคุณจะซื้อของและอัพเกรดจักรยานแม้ว่าราคาจะไม่แพงก็ตาม การเลือก Grips ที่เหมาะสมและเข้ากับสไตล์การขับขี่ของคุณก็สามารถเปลี่ยนโลกได้เหมือนกัน ดังนั้นผมขอแนะนำให้คุณลองใช้รูปแบบที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ประมาณ 100 กว่าบาท สำหรับ Grips ที่ดีเยี่ยมจริงๆ นี่เป็นราคาที่ไม่แพงนัก



แนะนำเล็กน้อย: สำหรับคนที่ชอบปั่นแบบ cross country ผมแนะนำให้ลองที่จับยี่ห้อ Ergon สำหรับการกระจายน้ำหนักและความสะดวกสบาย อย่างไรก็ตามหากคุณชอบแบบ technical descending การใช้ด้ามจับแบบกลมจะดีกว่า เลือกใช้ด้ามจับ Oury ซึ่งมีช่องระบายอากาศที่ดีในรูปแบบทรงกลม และมีความหนาสักหน่อย

4. เปลี่ยนบันได (Pedals and/or Cleats) 
บันไดจะมีอยู่ 2 ประเภท แบบ clipless หรือ flats ซึ่งก็เหมือนกับชิ้นส่วนอื่นๆของจักรยานเสือภูเขา ก็คือ มันสึกหรอได้ จุดสัมผัสที่เราบอกไปแล้วจากข้อ 3 มีความสำคัญ แต่มักถูกมองข้าม ราคาของบันไดนั้นอาจจะมีราคามากกว่า 3 พันบาทได้ แต่ถ้าไม่ต้องเลือกใช้แบบน้ำหนักเบามากๆ คุณก็จะได้ของดีราคาถูกเช่นกัน



หากคุณซื้อ pedals แบบ clipless คู่ใหม่ ก็ต้องเผื่อเงินไว้ซื้อ cleats อันใหม่ที่เข้ากันไว้สำรองด้วยเพื่อที่จะเอาไว้เปลี่ยนกับอันเก่าที่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามบางครั้งสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ชุดเหยียบเก่ารู้สึกใหม่ คือ การเปลี่ยนรองเท้าที่ชำรุดของคุณ

5.  เปลี่ยนเบาะรองนั่งหรืออานใหม่ (Mountain Bike Saddle)




อานจักรยานเป็นสิ่งของที่ส่วนตัวมากๆ อานที่มากับรถก็อาจจะดีสำหรับคุณ หรือ อาจจะไม่เข้ากับสรีรร่างกายของคุณ การหาอานที่เหมาะอย่างถูกต้องสามารถสร้างโลกแห่งความแตกต่างได้ การมองหาอานที่ออกแบบมาไม่หนักไม่เบาจนเกิน ก็มีราคาที่ไม่เกินงบประมาณที่ตั้งไว้

6. อัพเกรดสตรีม (Stem)
ประโยชน์ของสตรีม ก็คือ สตรีมที่สั้นลงช่วยลดการเข้าถึงหรือระยะเอื้อมถึงของคุณ เพื่อให้คุณสามารถตอบสนองได้เร็วขึ้นและควบคุมหน้ารถได้ดียิ่งขึ้น downhill bikes จำนวนมากจะมีสตรีมขนาดเล็ก 40-50 มิลลิเมตร และสตรีมของจักรยานเสือภูเขาแบบ trail bikes มักอยู่ระหว่าง 60-80 มม.  ส่วน cross-country bikes มักมีสตรีม อยู่ในช่วง 100-120 มม.



ขึ้นอยู่กับชนิดของการขับขี่คุณ คุณควรจะมีปัญหาในการหาสตรีมในช่วงความยาวที่เหมาะสมนี้ โดยจะต้องอยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้ด้วย และอาจเพิ่มงบถ้าต้องการแบบคาร์บอน

7. เปลี่ยน Handlebars




เช่นเดียวกับการเปลี่ยนสตรีมของคุณ การเปลี่ยน Handlebars ของคุณอาจส่งผลกระทบต่อการควบคุมและความคล่องแคล่วของจักรยานเสือภูเขาของคุณ มือจับบางตัวเหมาะสำหรับการขี่ได้ดีโดยต้องใช้ปัจจัยต่างๆนอกเหนือจากราคา เช่น ความกว้าง, เส้นผ่าศูนย์กลาง การยึดและการกวาด

8. เปลี่ยนโรเตอร์จานหน้าขนาดใหญ่ Larger Front Rotor



ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการหยุดรถ อะไรคือปัญหาที่แท้จริง? คุณจะต้องเปลี่ยนเบรคใหม่ทั้งชุด? เปลี่ยนผ้าเบรคใหม่? ผมพบว่าการเปลี่ยนโรเตอร์จานหน้าให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นจะช่วยให้คุณพ้นจากปัญหานี้ และมีอำนาจในการหยุดรถได้ตามที่ต้องการได้ดีขึ้น

9. นำไปปรับจูน (Get a Tune Up)


มีหลายวิธีที่จักรยานเสือภูเขาสามารถเสื่อมสภาพได้ มันอาจจะทำให้คุณรู้สึกหดหู่เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าคุณต้องการทำให้มันกลับดีขึ้นก็สามารถทำได้ หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่คุณสามารถลงทุนเงินของคุณ คือการรักษามาตรฐานการดูแลรักษาจักรยานเสือภูเขาให้อยู่ในระดับมาตรฐานอยู่เสมอ

นอกจากจะได้รับการปรับแต่งอย่างเต็มที่โดยมืออาชีพ (ซึ่งอาจอยู่ภายใต้ 3000 บาท หรืออาจจะไม่ได้) ต่อไปนี้เป็นองค์ประกอบที่แตกต่างกันซึ่งต้องการการบำรุงรักษาที่น้อย แต่อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านประสิทธิภาพ:



  • สายเคเบิ้ลทั้งหมด หากคุณปั่่นจักรยาน แล้วรู้สึกว่าการสับเปลี่ยนเกียร์มันไม่ดีนัก ในกรณีนี้ถ้าคุณไม่เคยเปลี่ยนสายเคเบิ้ล (สายเบรคสายเกียร์) ผมแนะนำให้คุณเปลี่ยนมันด่วน ราคาไม่ถึง 1000 บาท คุณก็จะได้รถจักรยานที่เหมือนใหม่
  • เบรค: บางครั้งการเบรกอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดสิ่งไม่คาดฝันกับระบบเบรคของคุณได้ นอกจากนี้การเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ หรือเปลี่ยนทั้งชุดก็จะช่วยให้คุณรู้สึกได้ถึงความแตกต่างที่ดีไปจากเดิมได้ 
  • ระบบช้อคอัพ (Suspension) ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับการบำรุงรักษาตามปกติสำหรับชุด Suspension ของคุณ หากคุณละเลยการบำรุงรักษาและรู้สึกว่าการรองรับแรงกรแทกไม่ได้เรื่องแล้วล่ะก็ คำตอบก็มีอยู่แล้ว 
  • ระบบกระโหลก (Bottom brackets): ระบบพวกนี้ต้องการการดูแลเอาใจใส่จะต้องทำความสะอาดใส่จาระบีเป็นประจำ ถ้าคุณได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เหยียบบันไดแสดงว่าคุณจะต้องพามันไปจัดการทำความสะอาด หากไม่มีความรู้ควรนำไปให้ช่างดูแล


นี่เป็นเพียงคำแนะนำบางประการสำหรับการอัปเกรดที่ไม่แพงซึ่งสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของจักรยานเสือภูเขาได้ดีขึ้น อาจจะไม่ต้องเปลี่ยนทั้งหมดที่บอกมานะครับ เปลี่ยนบางตัวที่ดูแล้วน่าจะสึกหรอหรือใช้งานไม่ดีนักก็ได้ครับ

วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วิธีการเลือกซื้อล้อรถจักรยานเสือภูเขา

โฆษณา

ค้นหาล้อที่ดีที่สุดสำหรับจักรยานเสือภูเขาเหมาะกับสไตล์การขี่และงบประมาณ


ล้อจักรยานเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่น่าสับสนมากที่สุดที่คุณจะเลือกซื้อสำหรับจักรยานเสือภูเขาของคุณ เนื่องจากว่ามีตัวเลือกมากมายหลายยี่ห้อที่ต่างก็โฆษณาว่าผลิตภัณฑ์ของตนมีข้อดีอย่างไรบ้าง? เราก็เลยมาช่วยให้คุณได้ตัดสิ่งต่างๆที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องมากนักกับการเลือกล้อ ซึ่งจะทำให้คุณมองถึงความจำเป็นหรือคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการของคุณได้มากที่สุด และถูกกับเงินในกระเป๋าของคุณอีกด้วย

1. ขนาดของล้อ

สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือล้อที่คุณกำลังจะซื้อมันพอดีกับจักรยานหรือไม่ เนื่องจากจักรยานเสือภูเขาในปัจจุบันมีเส้นผ่าศูนย์กลางของล้ออยู่ทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ 26 นิ้ว, 27.5 นิ้ว หรือ650b และ 29 นิ้ว พร้อมกับอุปกรณ์ยึดเพลาหลายแบบ อย่างที่เรียกกันว่า ดุมล้อหรือ Hub 'quick release' ซึ่งถ้าจักรยานของคุณมีอุปกรณ์จำเป็นนี้และล้อที่ใช้รองรับอุปกรณ์พวกนี้ก็ง่ายสำหรับหาซื้อ



ดังนั้นการหาล้อจักรยานเสือภูเขาจะมีความแตกต่างกันไปตามขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง, ความกว้างของขอบล้อและอุปกรณ์ยึดล้อ ส่วนเชื่อมต่อโรเตอร์และเฟืองก็จะแตกต่างกันไป

ในส่วนของเพลาล้อค่อนข้างซับซ้อน โดยทั่วไปแล้วขนาด 100x15mm มักจะใช้สำหรับล้อหน้า และขนาด142x12mm ใช้สำหรับล้อหลัง แต่ก็ยังคงมีขนาดอื่นๆนอกจากนี้ด้วย ดังนั้นต้องมั่นใจว่า จักรยานเสือภูเขาของคุณใช้เพลาขนาดเท่าไหร่กันแน่



ดุมล้อ หรือ Hub จะมีหลายชุดที่สามารถนำมาปรับแต่งให้เข้าเพลาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงทำให้คุณมีหลายทางเลือกอีกเช่นกัน สุดท้ายที่ต้องระมัดระวังก็คือ การติดตั้ง disc brake rotor จะมีมาตรฐานในการใช้งานอยู่ 2 อย่าง คือ Center Lock กับ six-bolt ซึ่งทั้งสองอย่างจะใช้ด้วยกันไม่ได้ คือ โรเตอร์ดิสเบรคเป็นประเภทไหน ก็ต้องใช้แบบนั้น

2. แบบมียางในหรือไม่มี (tubeless)




มีการถกเถียงกันมากมายสำหรับการใส่ล้อเพราะมันจะต้องมียางใน ซึ่งในขณะนี้ก็ยังเป็นถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สำหรับแบบมียางในนั้นเป็นวิธีที่ดั้งเดิมเก่าแก่และราคาไม่แพง แต่แบบ tubeless นั้นก็มีข้อดีตรงทนต่อการรั่วหรือยางแบน และสามารถปั่นได้หากลมในยางต่ำไปหรือยางอ่อนนั่นแหละ ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่และความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ ต้องดูที่ขอบล้อครับว่ารองรับยางแบบไหน



เคล็ดลับ ถ้าขอบล้อของคุณเป็นแบบ tubeless rim หรือ tubeless ready มันจะมีข้อดี ก็คือความแข็งแกร่งและทนทานกว่าแบบดั้งเดิม ดังนั้นถ้าคุณชอบความทนทานก็เลือกใช้แบบนี้ก็ได้ครับ

3. ความกว้างของขอบล้อ

ขอบล้อในปัจจุบันนี้มีแนวโน้มที่จะมีขนาดกว้างขึ้นครับ (พึงจำไว้ว่าขนาดของขอบล้อด้านในมีความสำคัญมากที่สุด ไม่ใช่มองที่ด้านนอกอย่างเดียว) ก่อนหน้านี้ขนาด 19 มิลลิเมตรเคยเป็นมาตรฐานสำหรับล้อจักรยานเสือภูเขา แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะขนาด 21 ถึง 23 มม. มักจะนิยมใช้กันมากขึ้น โดยบางรุ่นจะมีขนาดสูงสุด 30 มม. หรือมากกว่า


ทำไมถึงมีขนาดมากขนาดนี้ เพราะว่าขนาดที่กว้างมากขึ้นจะส่งผลต่อความเสถียรของยาง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แรงกดดันในขณะที่ลมยางอ่อนลง) ขนาดของรอยยาง, แรงลมของยาง ซึ่งทั้งหมดนี้มีผลต่อแรงฉุดทั้งหมด

4. การทำความเร็ว (Engagement speed)

เมื่อซื้อล้อใหม่คุณจะพบการอ้างอิงถึงความเร็ว หรือ การมีส่วนร่วมในการทำความเร็ว (Engagement speed) ซึ่งเป็นการอ้างถึง การยึด spring-loaded pawls ที่โหลดไว้บนเฟืองล้อที่อยู่ภายในของดุมล้อหลัง จะเกิดขึ้นประมาณ 2 วินาทีได้ เมื่อคุณเริ่มปั่นจักรยานอีกครั้งหลังจากปล่อยให้มันไหลไปเอง



ตัวเลขน้อยหรือองศาน้อยกว่า จะดีที่สุดเพราะคุณไม่ต้องใช้แรงเหยียบบันไดที่มากเกินไป แต่ทำให้ออกตัวได้ดี และยังสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างการปีนไต่ทางเทคนิคและการไหลตัว

ส่วนตัว quick-engaging hubs นั้นก็มีส่วนอย่างมากเช่นกัน ยิ่งน้ำหนักมากก็จะยิ่งส่งเสียงดังมากขึ้น ดังนั้นถ้าคุณไม่ชอบเสียงดังก็ควรเลี่ยงที่จะเล่นตัวนี้ และตัวฮับพวกนี้ต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมากจะต้องมีการหยอดน้ำมันหรืออัดจาระบี หมั่นดูแลเสมอเพื่อการใช้งานที่ยาวนานขึ้น

5. น้ำหนักของล้อ

การที่เราจะขึ้นไปบนเนินเขาได้นั้น เราจำเป็นต้องออกแรงถีบมากขึ้น ดังนั้นน้ำหนักของล้อจึงจำเป็นต่อการเลือกซื้อ ไม่เพียงจะช่วยในการขึ้นเขาเท่านั้นนะครับ ล้อที่เบาจะช่วยให้เราทำความเร็วได้ดีขึ้นด้วย แม้ประสิทธิภาพการเบรกจะดีขึ้นเนื่องจากมีแรงเฉื่อยน้อย



มีแต่ข้อดีใช่ไหม? ข้อเสียก็มีนะ มันจะมีราคาแพงขึ้น ยิ่งน้ำหนักเบาก็ยิ่งแพง และยิ่งสวย เป็นอันตรายต่อกระเป๋าเงินเป็นอย่างมาก

6. ความทนทานและความสามารถในการให้บริการ

โดยปกติแล้วล้อใหม่อะไรๆก็มักจะดี แต่พอนานไปเราจะเห็นได้ว่า ความทนทานก็เป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นกัน โปรดคำนึงถึงสภาพการขับขี่ในท้องถิ่นของคุณ และให้ความสำคัญกับชิ้นส่วนพวกฮับพวกซีลต่างๆ เช่น hub seals, วัสดุที่นำมาทำล้อ, ขอบล้อและส่วนอื่นๆ

ถ้าคุณปั่นจักรยานในสภาพที่ฝนตกบ่อยๆลุยโคลนบ่อยครั้ง สิ่งที่คุณควรใส่ใจมากๆก็คือ แบริ่งและซีลของดุมล้อหรือฮับ ซึ่งสามารถซื้อหาหรือเปลีี่ยนซ่อมได้ง่าย



ในทางกลับกันคนที่ปั่นกับทางกันดารมีหินมีฝุ่น ทางขรุขระโหดร้าย คุณก็ต้องมองหาล้อที่มีความแข็งแรงขอบล้อจะต้องรองรับแรงกระแทกโหดๆ สเปคของซี่ลวดหรือ spoke count สูงๆ (เช่น 28/32 spoke count หรือ มากกว่า)

เมื่อพูดถึงล้อ ถึงแม้ว่าจะทนทานแข็งแรงขนาดไหนก็ตามก็ยังมีข้อผิดพลาดและเกิดความเสียหายได้เช่นกันนะครับ การดูแลรักษาจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด ดังนั้นจะต้องมีร้านหรืออะไหล่ไว้สำรองหรือซ่อมแซมเวลาที่เสียหายหรือต้องเปลี่ยนเมื่อหมดอายุ เช่น แบริ่งหรือลูกปืนฮับ ซี่ลวด การที่ต้องนำจักรยานใส่รถเพื่อไปซ่อมในที่ไกลกว่าที่อยู่อาศัย อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก



7. ทุนหรืองบประมาณ

  แน่นอนว่าคุณต้องคำนึงถึงงบประมาณของคุณด้วย ไม่ใช่แค่ราคาซื้อเท่านั้น ในบางบริษัทผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายอาจจะมีการรับเปลี่ยนคืนในกรณีที่เกิดความเสียหาย หรือเสนอให้ส่วนลดในกรณีเกิดความผิดพลาดซึ่งแล้วแต่กรณีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ขึ้นอยู่กับการใช้งานที่คุณคาดว่าจะใช้ (และสไตล์การขี่)  สิ่งเหล่านี้อาจมีเหตุผลนะครับ เพราะว่าการเสียเงินซื้อครั้งแรกอาจจะไม่แพงเลย แต่ใช้ไปนานๆ อาจจะนำไปสู่การเสียเงินที่มากกว่าราคาล้อก็ได้

จบไปแล้วนะครับสำหรับการเลือกซื้อล้อจักรยานเสือภูเขา สำหรับคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องมากนักอ่านแล้วอาจจะงงๆ แรกๆถ้าคิดจะเปลี่ยนล้อ แนะนำว่าให้อ่านหาข้อมูลคร่าวๆก่อนและยกรถไปให้ช่างช่วยดูและแนะนำเพิ่มเติมให้ก็ได้ครับ เพราะเราต้องรู้บางอย่างคร่าวๆก่อนที่จะคุยกับช่าง ทั้งนี้จะได้ไม่ถูกเสนอล้อที่ราคาแพงเกินไปเกินงบประมาณและการใช้งานของเราครับ


วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

7 สิ่งควรรู้ก่อนซื้อจักรยานไฟฟ้า (E-Bike)

โฆษณา

ข้อได้เปรียบที่แท้จริงของจักรยาน e-bikes คือ



ประสิทธิภาพในการปีนป่าย, ต้านลม, และช่วงระยะทางที่ดีกว่า หากคุณพบอาการปวดเข่าหรือการออกกำลังกายแล้วส่งผลทำให้เกิดโรคหอบหืด จักรยานไฟฟ้า e-bikes สามารถจะช่วยชุบชีวิตใหม่ให้แก่คุณในวงการกีฬาการขี่จักรยานได้ คุณอาจจะชักชวนให้เพื่อนฝูง, ภรรยา หรือคู่รัก, หรือพ่อแม่ของคุณเข้าร่วมในการเดินทาง หรืออาจทำให้คุณรู้สึกถึงความรู้สึกสดชื่น

จักรยานไฟฟ้าจึงให้ผลประโยชน์ที่ดีเช่นเดียวกับจักรยานแบบดั้งเดิม หรือ เสือภูเขา และรวมไปถึงประสิทธิภาพด้านความคุ้มค่า, ประโยชน์ด้านสุขภาพและการเชื่อมโยงกับชุมชนได้ แค่นี่ก็เป็นเหตุผลที่ดีแล้ว ที่เราจะเลือกซื้อจักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike สักคัน การเลือกซื้อก็ไม่แตกต่างจากจักรยานทั่วไปที่มันมีให้เลือกมากมายหลายแบบ บนโลกของเราใบนี้ จักรยานไฟฟ้าเกือบ 50 ยี่ห้อมักจะอยู่ทวีปยุโรป

เรามาดูกัน ก่อนที่จะซื้อจักรยานไฟฟ้า E-Bike เราต้องพิจารณาปัจจัยทั้ง 7 นี่ก่อน


1. กิจกรรมที่ต้องการ
จักรยานไฟฟ้ามีการออกแบบให้เหมาะสำหรับบุคคลที่แตกต่างกันและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน คุณต้องตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งสำคัญกับคุณมากที่สุด และอะไรที่ไม่จำเป็น ทั้งนี้เพราะคุณจะได้บอกกับเจ้าของร้านขายจักรยานหรือพนักงานขายได้ตรงตามความต้องการ

อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้ว มีโมเดลมากมายให้เลือก ดังนั้นก่อนอื่นคุณควรคิดว่าคุณจะขี่จักรยานไฟฟ้านี้ที่ไหน (Where?) และจะขี่มันบ่อยแค่ไหน? (frequently) จักรยานไฟฟ้า E-Bike เหมาะกับกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การลากสินค้า (ในเมืองนอกจะมีการนำจักรยานปั่นส่งของด้วยครับ), ปั่นท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ, ปั่นแบบจักรยานเสือภูเขา, แบบ downhill, ใช้พ่วงเด็ก (ในเมืองนอกจะมีพ่วงข้างหรือด้านหลังไว้สำหรับเด็กนั่งด้วยครับ) หรือกิจกรรมอื่นๆ

คำถามที่คุณต้องถามตัวเองก่อนเข้าร้านคือ อะไรคือกิจกรรมที่คุณโปรดปราน

2. ประเภทของการขับขี่
จักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike นี้ มีการขับขี่หรือขับเคลื่อนอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกคือ การปั่นแบบใช้บันไดจักรยาน หรือที่เรียกว่า “pedelec” ระบบนี้จะตรวจสอบการเหยียบบันไดจักรยานของผู้ขับขี่โดยอัตโนมัติและจะเพิ่มความช่วยเหลือในการขับขี่โดยอัตโนมัติ โดยปกติจะขึ้นอยู่กับอัตราความแรงและความเร็ว


ประเภทที่ 2 การใช้มอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อน ในประเทศส่วนใหญ่มักจะกำหนดพลังงานของมอเตอร์ จะมีการควบคุมและจำกัดไว้ที่ 250 W และความเร็วสูงสุดถึง 25 กม./ชม. เมื่อคุณไปถึงความเร็วนี้มอเตอร์จะปิดโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมี e-bikes ประสิทธิภาพสูงที่มีความเร็วสูงกว่าแบบมาตรฐาน ซึ่งสามารถใช้ความเร็วได้ประมาณ 45 กม./ชม. แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องมีใบอนุญาต, แผ่นป้ายและใบรับประกันพิเศษ (ในประเทศไทยไม่แน่ใจว่าจะมีการควบคุม)

กฎระเบียบต่างๆที่กล่าวมานี้ก็จะแตกต่างกันไปในทุกประเทศทั่วโลก ดังนั้นจึงต้องขอรายละเอียดจากร้านค้าในพื้นที่ของคุณ นอกจากนี้อาจจะมีชื่อเรียกอื่นๆอีก เช่น ‘twist-n-go’ มันหมายถึง ผู้ขับขี่มีการปรับเปลี่ยนจากมอเตอร์มาเป็นการปั่นเอง

3. Motor mount
เมื่อพูดถึงมอเตอร์ของจักรยานไฟฟ้าหรือ E-Bike มีสองประเภทหลัก ทั้งติดตั้งอยู่ในล้อ หรือ Hub motors (ล้อแม็ก) หรือติดตั้งบริเวณข้อเหวี่ยงและเหยียบ (ข้อเหวี่ยงช่วยมอเตอร์) หรือ แบบ crank assist systems ที่ด้านล่างของเฟรม นั่นหมายความว่าตัวควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถรวมกับตัวเซ็นเซอร์ตรวจจับว่าคุณกำลังเหยียบและสามารถวัดความช่วยเหลือหรือออกแรงปั่นได้ตามที่กล่าวมา


โดยปกติแล้วจักรยานที่ใช้แรงเหวี่ยงช่วยจากจากข้อเหวี่ยงจะมีชื่อเสียงในการขึ้นเนินเขาที่สูงชัน แต่มันจะมีข้อเสียคือมีเสียงรบกวนของมอเตอร์ อันนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อกับชนิดของมอเตอร์นั้นๆ

ส่วนแบบที่ติดตั้งอยู่ในล้อ หรือ Hub motors (ล้อแม็ก) จะมีการทำงานที่เงียบกว่า crank assist systems แต่นั่นแหละครับ มันก็จะทำให้จักรยานประเภทนี้ปีนป่ายเนินเขาสูงไม่ค่อยไหว โดยทั่วไปคุณควรมองหาแบรนด์ที่มีชื่อเสียง เช่น Bosch, Yamaha, Shimano หรือ 8fun

4. Battery
ส่วนใหญ่แล้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะเป็นแบตเตอรี่ที่นิยมนำมาใช้กับจักรยานไฟฟ้าไม่ต่างไปจากสินค้าอิเลคทรอนิคส์อื่นๆ แต่จักรยานไฟฟ้าที่มีราคาแพง ก็มีแบตเตอรี่ที่มีเทคโนโลยีที่ดีกว่า กล่าวคือ น้ำหนักเบา, ชาร์จได้เร็ว และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า


คุณภาพของแบตเตอรี่ทำให้เกิดความแตกต่างกันทางด้านราคา ดังนั้นโปรดมองหาผู้ผลิตแบตเตอรี่ที่มีชื่อเสียงอย่าง เช่น Sony, Samsung หรือ Panasonic และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการรับประกันครอบคลุมแบตเตอรี่เป็นเวลาอย่างน้อยสองปี

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีอายุการใช้งานสูงสุด 800 ครั้ง นั่นคือประมาณ 3 ปีสำหรับการเดินทางในวันธรรมดา แต่มันอาจจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่านั้นหากคุณใช้งานด้วยความเอาใจใส่ ซึ่งจะต้องชาร์จไฟอย่างน้อย 2,000 ครั้ง ระยะการชาร์จไฟฟ้าเพื่อให้แบตเต็มนั้นจะใช้เวลา 3-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแบตเตอรี่ความจุและเคมีที่บรรจุในแบตเตอรี่

5. ระยะทาง (Range)
ระยะทางที่ไปได้ไกลเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับความจุหรือพลังงานของแบตเตอรี่ ซึ่ง ขอให้เข้าใจว่า แบตเตอรี่ลูกหนึ่งจะให้ระยะทางเท่าไหร่ หรือ Range นั่นเอง ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่สำคัญเช่นกันสำหรับการเลือกซื้อจักรยาน E-Bike เช่น สถานที่ที่คุณใช้ขี่นั่นมีแต่เนินเขาสูง (นี่คือเหตุผลที่เราต้องบอกให้คุณคำนึงถึงสถานที่ในข้อแรก) การเลือกใช้แบตเตอรี่ที่มีพลังไม่ถึง มันจะส่งผลอย่างมากกับการขี่ของคุณ เพราะมันกลายเป็นภาระเนื่องจากมันมันหนักมาก


ปัจจัยอื่นๆของ Range นอกจากจะขึ้นอยู่ความจุของแบตเตอรี่ (battery capacity) แล้ว ยังขึ้นอยู่กับ ความเร็ว, น้ำหนักของคุณ และ สถานที่ที่คุณจะเดินทาง, ระดับความช่วยเหลือ(จากมอเตอร์)ที่คุณเลือก, เปอร์เซ็นต์ของพลังการเหยียบบันได

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณมีการเดินทางไปกลับวันละ 20 กม. คุณก็ไม่จำเป็นต้องเลือก Range 70 กม. อย่างไรก็ตามคุณควรซื้อจักรยานไฟฟ้าที่ให้ Range มากกว่าความจำเป็นของคุณ เนื่องจาก Range จะลดลงไปตามอายุของแบตเตอรี่และความจุจะลดลงไปตามอายุการใช้งาน เช่น คุณเดินทาง 20 กม.ต่อวัน ก็ควรเลือก Range 25 miles (40 km) ก็ได้ครับ ไม่ต้องซื้อ 20 กม. หรือ 10-15 ไมล์มาใช้

6. เงินทุนและค่าดูแลรักษา
คำพูดที่ว่า ของถูกและดี ไม่มีในโลก ก็ยังคงใช้ได้กับจักรยานไฟฟ้า หรือ แม้กระทั่งจักรยานเสือภูเขา เพราะถ้าคุณต้องการจักรยานคุณภาพดี ก็ต้องจ่ายราคาแพงกว่าแบบมาตรฐาน จักรยานราคาแพงมันจะมีฟังก์ชั่นระบบช่วยเหลือนักปั่นมากกว่ารถธรรมดา ก็ต้องถามใจคุณดูว่า คุณต้องการฟังก์ชั่นต่างๆมาช่วยคุณเวลาปั่นหรือไม่? ถ้าไม่ต้องการมากนัก ก็เลือกราคาธรรมดาก็ได้ (มันก็เหมือนรถยนต์แหละครับ รุ่นแพงก็จะมีระบบโน้นนี้นั่นมากมาย)


สิ่งที่ใช้พิจารณาคุณภาพของจักรยานโดยทั่วไป ก็จะดูเรื่องเฟรม, ระบบเบรค, ระบบโช๊คอัพ ถ้ามีอื่นๆเพิ่มมาอีกราคาก็จะสูงขึ้นอีก นอกจากนี้คุณจะต้องกันเงินไว้สำหรับมอเตอร์ด้วย เพราะมันจะทำให้การใช้งานได้นานกว่ามอเตอร์คุณภาพธรรมดา

7. ทดลองขี่
บางทีสิ่งที่สำคัญที่สุด (และสนุก) ในการซื้อจักรยานไฟฟ้าคือการทดลองขี่ และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ การค้นหาข้อมูล, การอ่านรีวิวจากเว็บไซต์ต่างๆ และการสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มนักปั่นจักรยานไฟฟ้า

และอาจจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณต้องการหรือชอบจักรยานไฟฟ้าแบบนี้หรือเปล่า? มันจะไต่ขึ้นเนินเขาที่คุณไปปั่นได้ดีหรือไม่? มันจะมีฟังก์ชั่นหรือคุณสมบัติตรงตามที่คุณต้องการหรือไม่? หรือมันจะใช้งานได้อย่างที่คุณคิดหรือไม่?