คำเตือนสำหรับผู้คัดลอก

เนื่องจากมีผู้คิดคัดลอก บทความบางส่วน หรือ บทความทั้งหมด จากเว็บบล็อก http://mountainbikedetail.blogspot.com/
ผู้ที่คัดลอกต้องแสดงการอ้างอิง หรือ ให้ลิงค์กลับมายัง เวบบล็อก ของเราหรือแสดงความจำนงที่จะนำบทความไปใช้ โดยแจ้งผ่านทางอีเมล์ หรือ ทางแฟนเพจ

มิฉะนั้น ทางเราจะแจ้งดำเนินคดี ฟ้องร้องการละเมิดลิขสิทธ์

วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Top 7 จักรยานเสือภูเขาประเภท Hardtail 2017 จัดตามความนิยมผู้อ่าน Singletracks

โฆษณา

โพลจากเว็บ Singletracks ออกมาแล้วสำหรับ Top 7 Hardtail Mountain Bikes 


เช่นเดียวกับจักรยานเสือภูเขาที่มี full suspension โช้คอัพหน้า-หลัง เป็นจักรยานที่เต็มไปด้วยสมรรถนะ ซึ่งสำหรับเสือภูเขาประเภท Hardtail Mountain Bikes นี้จะใช้ข้อดีทางด้านของราคามาสู้ หากท่านต้องการไปอย่างรวดเร็วและเบา? มีน้ำหนักราวๆ 20 ปอนด์ หรือราวๆ 10 กิโลกรัม (เฟรมคาร์บอนไฟเบอร์) สำหรับการแข่งรถ? ก็เลือกหนึ่งในบรรดาจักรยานเสือภูเขา hardtails ทั้งหมดที่ใช้โช้คอัพขนาด 140-160 มม. ได้เลย

สำหรับบางคนแล้วอาจจะดูเหมือนว่าต้องกัดฟันทนกับการใช้เสือภูเขาแบบ Hardtail ไปใช่ไหม? เพราะงบประมาณที่มีจำกัด และอาจจะเป็นมือใหม่หัดปั่นซึ่งต้องการเรียนรู้จักรยานเบื้องต้นไปก่อนเนื่องจากไม่มีระบบโช๊คอัพหลังมาให้กังวลใจ แล้วถ้าไม่ใช่ทางที่ชอบก็สามารถขายต่อหรือปั่นไปเที่ยวนิดหน่อยก็ไม่เสียดาย แต่สำหรับบางคนแล้ว การใช้เสือภูเขาประเภทนี้เป็นความชอบส่วนตัวล้วนๆไม่มีเหตุผลอื่น บางคนก็มีครอบครอง 2-3 คัน ทั้งๆที่สามารถซื้อแบบ Full ได้แต่ก็ไม่เอา นี่ก็คือความชอบ

และนี่ก็คือ top 7 จักรยานเสือภูเขาแบบ hardtails ของปี 2017

7. Trek X-Calibre: $ 930 - $ 1,580


Trek X-Calibre เป็นอะไรที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสำหรับ cross country hardtail. มันมีเฟรมอลูมิเนียมที่มีคุณสมบัติที่ทันสมัย เช่น Boost spacing และการเดินสาย internal dropper post routing เป็นพวกระบบสายต่างๆ (dropper post) เข้าไปภายในเฟรม
เจ้า X-Calibre นี้มีมา 5 ขนาด, 4 เฟรมที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ล้อ 29 "; ที่เล็กสุดก็เฟรม 15.5 นิ้ว ในล้อขนาด 27.5 นิ้ว สำหรับ chainstays (ระยะของความยาวตะเกียบหลัง) ทาง Trek ได้ตัดความยาวออกไปนิดหน่อยจะได้เห็นในตัวใหม่ปี 2018 แต่โดยรวมแล้ว geometry องศาทั้งหมดก็ยังคงใช้แบบ XC ใช้โช้คอัพขนาด 100 มม. และ Head Tube ในองศาที่ 69.3° ครับ

6. Specialized Rockhopper: $525-$1,400


Specialized’s Rockhopper วางจำหน่ายด้วยกัน 5 แบบครับ โดยเริ่มต้นที่ $525, ข้อดีคือทำให้สามารถเข้าถึงผู้ขับขี่ได้อย่างหลากหลายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย มันเป็นอะไรที่มากกว่า XC (หมายถึง cross country) และยิ่งกว่า X-Calibre ของ Trek สะอีก (เกทับกันน่าดู) ระยะยุบตัวของโช้คอัพหน้า 80 มิลลิเมตร และองศาของ Head Tube ที่ 71° ดังนั้นควรจะคำนึงถึงสถานที่ที่คุณจะปั่นด้วยเจ้า Rockhopper เพราะเนื่องจากทักษะที่ดีของนักปั่นแล้วจะช่วยส่งเสริมให้นักปั่นนั้นไปได้เร็วและดีกว่าจักรยานเสือภูเขารายอื่นได้อย่างง่ายดาย ถ้าคุณมีเส้นทางที่ขุรขระและคุณต้องการไปอย่างรวดเร็ว Rockhopper อาจเป็นเพียงตั๋วเท่านั้น

5. Trek Superfly: $1,520-$2,100


Superfly ได้เก็บเอาสิ่งที่ X-Calibre ไม่พัฒนาต่อมาใช้ เฟรอมก็ยังคงเป็นอลูมิเนียม แต่สิ่งแตกต่างกันก็คือ Superfly ยังคงใช้เทคโนโลยี Trek’s Alpha Platinum tubeset แต่ X-Caliber ใช้ Alpha Gold และความแตกต่างหลายอย่างตั้งแต่ยังเป็นตัวต้นแบบโมเดลไปจนถึงการสร้างออกมาจริงๆ อย่างที่คุณคาดหวังจากราคาที่สูงขึ้นเพราะมันก็มาด้วยฟังก์ชั่นหรือองค์ประกอบที่เกินคำบรรยายนั่นแหละ นอกจานี้ The Superfly ยัง seatpost ขนาด 27.2 ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำหรับการใช้ XC นั่นเอง

4. Specialized Epic: $1,900-$9,500


หากคุณต้องการใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยการบันทึกสถิติหรือถ่ายทำวีดีโอ Specialized Epic เป็นจักรยานที่เหมาะสมมากสำหรับคุณ อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องของราคาระหว่างรุ่นที่มีราคาแพงที่สุดและน้อยที่สุด แต่ Epic ทุกตัวเป็นรถแข่งแบบเต็มรูปแบบ
S-Works Epic Frame ที่มีน้ำหนักอยู่ที่ 875g รวมกับฮาร์ดแวร์อื่นๆด้วยนะ ทำให้มันเป็นเสือภูเขาที่น้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยไม่ว่าจะเป็นเสือภูเขาหรือ Road Bike

3. Santa Cruz Chameleon: $1,700-$2,350


Chameleon เป็นรุ่นที่แพงน้อยที่สุดในสายพานการผลิตของ Santa Cruz โดยเริ่มต้นการผลิตจากรุ่นล้อ 26 นิ้วมีระยะยุบตัวของโช้คอัพหน้าที่กว้างที่สุดด้วย ในปี 2014 Santa Cruz ได้ปรับปรุงอัพเดทเจ้า Chameleon ให้เป็นล้อขนาด 27.5 นิ้ว การรีเฟรชครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปีนี้เมื่อ Santa Cruz เปิดตัว Chameleon รุ่น 7 ซึ่งมีล้อขนาด 29 นิ้วหรือ 27.5 นิ้วพร้อมโช้คอัพ 120 มม. และรูปทรง geometry ที่ทันสมัยมากขึ้น

2. Kona Honzo: $1,400-$4,600


Kona Honzo มีการกำหนดเป้าหมายระยยาวในเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น โดยตอนแรกเป็นเพียงจักรยานเสือภูเขาเฟรมเหล็กแบบ Hardtail ราคาถูก และได้พัฒนามาเรื่อยๆจนกลายเป็นจักรยานที่มีหลายแพลตฟอร์มไม่ซ้ำกัน 5 แบบ
คุณสามารถเลือกซื้อ Honzo ในรูปแบบของเฟรมเหล็ก, ไทเทเนียม, อลูมิเนียมและตอนนี้ก็มีแม้แต่คาร์บอนไฟเบอร์ ในส่วนของ geometry ก็จะมีการออกแบบมาให้ใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็นความสูงความยาวองศาต่างๆ
Honzos ล้อขนาด 29 นิ้วที่มีระบบโช้คอัพหน้า 120 มม chainstays ที่ออกจะอวบๆสั้นๆ และมาพร้อมกับระยะเอื้อมที่ยาวมากๆ 475 มม ถ้าคุณชอบล้อใหญ่ๆ คุณสามารถสั่ง Big Honzo ได้ โดยเพิ่มเงินอีก $1800 สำหรับความต้องการพิเศษนี้

1. Trek Stache: $1,580-$4,700


ท่านทั้งหลายท่านคงจะชอบจักรยานเสือภูเขาฮาร์ดเทล (Hardtail) ของ Trek กันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ไม่ได้ประหลาดใจสำหรับเราที่จะมีคนโหวตให้ Trek Stache แซงหน้า Kona Honzo ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ได้ สำหรับจักรยานเสือภูเขารุ่นนี้ ไม่ใช่เพื่อการแข่งขันเท่านั้น แต่มันยังสามารถจะไปได้ทุกทางที่นักปั่นเจ้าของมันจะไป
Stache มี chainstays ที่สั้น, มีท่อบนที่ยาว, หัวท่อแบบ slackish head tube, มีล้อขนาดใหญ่มากว่า 29+  ซึ่งปัจจุบันนี้จะไม่ค่อยเห็นสักเท่าไหร่ จะมีเพียง Trek เท่านั้นที่ผลิตจักรยานเสือภูเขาล้อ 29+ หรือที่เราอาจจะเรียกกันว่า Fat Bike ครับ อาจจะพูดได้ว่า Trek ชอบเสนอสิ่งที่อยู่นอกกระแสหลักอยู่แล้ว

เช่นเดียวกับจักรยานอื่นๆ อีกมากมายในรายการนี้ Stache มีให้เลือกหลายราคาตั้งแต่รุ่นอลูมิเนียมสำหรับระดับเริ่มต้น ไปจนถึงคาร์บอนไฟเบอร์ และรุ่น Stache 9.8 ที่มาพร้อมกับล้อคาร์บอน

การโหวตนี้เป็นการจัดทำขึ้นของเว็บไซต์ Singletracks ครับ ซึ่งถ้าใครอยากจะดูรีวิวในแต่ละรุ่นหรือรายละเอียดมากกว่านี้ สามารถเข้าไปเพิ่มเติมได้ครับที่

https://www.singletracks.com/blog/mtb-gear/the-7-top-rated-hardtail-mountain-bikes-according-to-singletracks-readers/

1 ความคิดเห็น: