คำเตือนสำหรับผู้คัดลอก

เนื่องจากมีผู้คิดคัดลอก บทความบางส่วน หรือ บทความทั้งหมด จากเว็บบล็อก http://mountainbikedetail.blogspot.com/
ผู้ที่คัดลอกต้องแสดงการอ้างอิง หรือ ให้ลิงค์กลับมายัง เวบบล็อก ของเราหรือแสดงความจำนงที่จะนำบทความไปใช้ โดยแจ้งผ่านทางอีเมล์ หรือ ทางแฟนเพจ

มิฉะนั้น ทางเราจะแจ้งดำเนินคดี ฟ้องร้องการละเมิดลิขสิทธ์

วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

7 สิ่งควรรู้ก่อนซื้อจักรยานไฟฟ้า (E-Bike)

โฆษณา

ข้อได้เปรียบที่แท้จริงของจักรยาน e-bikes คือ



ประสิทธิภาพในการปีนป่าย, ต้านลม, และช่วงระยะทางที่ดีกว่า หากคุณพบอาการปวดเข่าหรือการออกกำลังกายแล้วส่งผลทำให้เกิดโรคหอบหืด จักรยานไฟฟ้า e-bikes สามารถจะช่วยชุบชีวิตใหม่ให้แก่คุณในวงการกีฬาการขี่จักรยานได้ คุณอาจจะชักชวนให้เพื่อนฝูง, ภรรยา หรือคู่รัก, หรือพ่อแม่ของคุณเข้าร่วมในการเดินทาง หรืออาจทำให้คุณรู้สึกถึงความรู้สึกสดชื่น

จักรยานไฟฟ้าจึงให้ผลประโยชน์ที่ดีเช่นเดียวกับจักรยานแบบดั้งเดิม หรือ เสือภูเขา และรวมไปถึงประสิทธิภาพด้านความคุ้มค่า, ประโยชน์ด้านสุขภาพและการเชื่อมโยงกับชุมชนได้ แค่นี่ก็เป็นเหตุผลที่ดีแล้ว ที่เราจะเลือกซื้อจักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike สักคัน การเลือกซื้อก็ไม่แตกต่างจากจักรยานทั่วไปที่มันมีให้เลือกมากมายหลายแบบ บนโลกของเราใบนี้ จักรยานไฟฟ้าเกือบ 50 ยี่ห้อมักจะอยู่ทวีปยุโรป

เรามาดูกัน ก่อนที่จะซื้อจักรยานไฟฟ้า E-Bike เราต้องพิจารณาปัจจัยทั้ง 7 นี่ก่อน


1. กิจกรรมที่ต้องการ
จักรยานไฟฟ้ามีการออกแบบให้เหมาะสำหรับบุคคลที่แตกต่างกันและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน คุณต้องตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งสำคัญกับคุณมากที่สุด และอะไรที่ไม่จำเป็น ทั้งนี้เพราะคุณจะได้บอกกับเจ้าของร้านขายจักรยานหรือพนักงานขายได้ตรงตามความต้องการ

อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้ว มีโมเดลมากมายให้เลือก ดังนั้นก่อนอื่นคุณควรคิดว่าคุณจะขี่จักรยานไฟฟ้านี้ที่ไหน (Where?) และจะขี่มันบ่อยแค่ไหน? (frequently) จักรยานไฟฟ้า E-Bike เหมาะกับกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การลากสินค้า (ในเมืองนอกจะมีการนำจักรยานปั่นส่งของด้วยครับ), ปั่นท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ, ปั่นแบบจักรยานเสือภูเขา, แบบ downhill, ใช้พ่วงเด็ก (ในเมืองนอกจะมีพ่วงข้างหรือด้านหลังไว้สำหรับเด็กนั่งด้วยครับ) หรือกิจกรรมอื่นๆ

คำถามที่คุณต้องถามตัวเองก่อนเข้าร้านคือ อะไรคือกิจกรรมที่คุณโปรดปราน

2. ประเภทของการขับขี่
จักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike นี้ มีการขับขี่หรือขับเคลื่อนอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกคือ การปั่นแบบใช้บันไดจักรยาน หรือที่เรียกว่า “pedelec” ระบบนี้จะตรวจสอบการเหยียบบันไดจักรยานของผู้ขับขี่โดยอัตโนมัติและจะเพิ่มความช่วยเหลือในการขับขี่โดยอัตโนมัติ โดยปกติจะขึ้นอยู่กับอัตราความแรงและความเร็ว


ประเภทที่ 2 การใช้มอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อน ในประเทศส่วนใหญ่มักจะกำหนดพลังงานของมอเตอร์ จะมีการควบคุมและจำกัดไว้ที่ 250 W และความเร็วสูงสุดถึง 25 กม./ชม. เมื่อคุณไปถึงความเร็วนี้มอเตอร์จะปิดโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมี e-bikes ประสิทธิภาพสูงที่มีความเร็วสูงกว่าแบบมาตรฐาน ซึ่งสามารถใช้ความเร็วได้ประมาณ 45 กม./ชม. แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องมีใบอนุญาต, แผ่นป้ายและใบรับประกันพิเศษ (ในประเทศไทยไม่แน่ใจว่าจะมีการควบคุม)

กฎระเบียบต่างๆที่กล่าวมานี้ก็จะแตกต่างกันไปในทุกประเทศทั่วโลก ดังนั้นจึงต้องขอรายละเอียดจากร้านค้าในพื้นที่ของคุณ นอกจากนี้อาจจะมีชื่อเรียกอื่นๆอีก เช่น ‘twist-n-go’ มันหมายถึง ผู้ขับขี่มีการปรับเปลี่ยนจากมอเตอร์มาเป็นการปั่นเอง

3. Motor mount
เมื่อพูดถึงมอเตอร์ของจักรยานไฟฟ้าหรือ E-Bike มีสองประเภทหลัก ทั้งติดตั้งอยู่ในล้อ หรือ Hub motors (ล้อแม็ก) หรือติดตั้งบริเวณข้อเหวี่ยงและเหยียบ (ข้อเหวี่ยงช่วยมอเตอร์) หรือ แบบ crank assist systems ที่ด้านล่างของเฟรม นั่นหมายความว่าตัวควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถรวมกับตัวเซ็นเซอร์ตรวจจับว่าคุณกำลังเหยียบและสามารถวัดความช่วยเหลือหรือออกแรงปั่นได้ตามที่กล่าวมา


โดยปกติแล้วจักรยานที่ใช้แรงเหวี่ยงช่วยจากจากข้อเหวี่ยงจะมีชื่อเสียงในการขึ้นเนินเขาที่สูงชัน แต่มันจะมีข้อเสียคือมีเสียงรบกวนของมอเตอร์ อันนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อกับชนิดของมอเตอร์นั้นๆ

ส่วนแบบที่ติดตั้งอยู่ในล้อ หรือ Hub motors (ล้อแม็ก) จะมีการทำงานที่เงียบกว่า crank assist systems แต่นั่นแหละครับ มันก็จะทำให้จักรยานประเภทนี้ปีนป่ายเนินเขาสูงไม่ค่อยไหว โดยทั่วไปคุณควรมองหาแบรนด์ที่มีชื่อเสียง เช่น Bosch, Yamaha, Shimano หรือ 8fun

4. Battery
ส่วนใหญ่แล้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะเป็นแบตเตอรี่ที่นิยมนำมาใช้กับจักรยานไฟฟ้าไม่ต่างไปจากสินค้าอิเลคทรอนิคส์อื่นๆ แต่จักรยานไฟฟ้าที่มีราคาแพง ก็มีแบตเตอรี่ที่มีเทคโนโลยีที่ดีกว่า กล่าวคือ น้ำหนักเบา, ชาร์จได้เร็ว และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า


คุณภาพของแบตเตอรี่ทำให้เกิดความแตกต่างกันทางด้านราคา ดังนั้นโปรดมองหาผู้ผลิตแบตเตอรี่ที่มีชื่อเสียงอย่าง เช่น Sony, Samsung หรือ Panasonic และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการรับประกันครอบคลุมแบตเตอรี่เป็นเวลาอย่างน้อยสองปี

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีอายุการใช้งานสูงสุด 800 ครั้ง นั่นคือประมาณ 3 ปีสำหรับการเดินทางในวันธรรมดา แต่มันอาจจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่านั้นหากคุณใช้งานด้วยความเอาใจใส่ ซึ่งจะต้องชาร์จไฟอย่างน้อย 2,000 ครั้ง ระยะการชาร์จไฟฟ้าเพื่อให้แบตเต็มนั้นจะใช้เวลา 3-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแบตเตอรี่ความจุและเคมีที่บรรจุในแบตเตอรี่

5. ระยะทาง (Range)
ระยะทางที่ไปได้ไกลเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับความจุหรือพลังงานของแบตเตอรี่ ซึ่ง ขอให้เข้าใจว่า แบตเตอรี่ลูกหนึ่งจะให้ระยะทางเท่าไหร่ หรือ Range นั่นเอง ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่สำคัญเช่นกันสำหรับการเลือกซื้อจักรยาน E-Bike เช่น สถานที่ที่คุณใช้ขี่นั่นมีแต่เนินเขาสูง (นี่คือเหตุผลที่เราต้องบอกให้คุณคำนึงถึงสถานที่ในข้อแรก) การเลือกใช้แบตเตอรี่ที่มีพลังไม่ถึง มันจะส่งผลอย่างมากกับการขี่ของคุณ เพราะมันกลายเป็นภาระเนื่องจากมันมันหนักมาก


ปัจจัยอื่นๆของ Range นอกจากจะขึ้นอยู่ความจุของแบตเตอรี่ (battery capacity) แล้ว ยังขึ้นอยู่กับ ความเร็ว, น้ำหนักของคุณ และ สถานที่ที่คุณจะเดินทาง, ระดับความช่วยเหลือ(จากมอเตอร์)ที่คุณเลือก, เปอร์เซ็นต์ของพลังการเหยียบบันได

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณมีการเดินทางไปกลับวันละ 20 กม. คุณก็ไม่จำเป็นต้องเลือก Range 70 กม. อย่างไรก็ตามคุณควรซื้อจักรยานไฟฟ้าที่ให้ Range มากกว่าความจำเป็นของคุณ เนื่องจาก Range จะลดลงไปตามอายุของแบตเตอรี่และความจุจะลดลงไปตามอายุการใช้งาน เช่น คุณเดินทาง 20 กม.ต่อวัน ก็ควรเลือก Range 25 miles (40 km) ก็ได้ครับ ไม่ต้องซื้อ 20 กม. หรือ 10-15 ไมล์มาใช้

6. เงินทุนและค่าดูแลรักษา
คำพูดที่ว่า ของถูกและดี ไม่มีในโลก ก็ยังคงใช้ได้กับจักรยานไฟฟ้า หรือ แม้กระทั่งจักรยานเสือภูเขา เพราะถ้าคุณต้องการจักรยานคุณภาพดี ก็ต้องจ่ายราคาแพงกว่าแบบมาตรฐาน จักรยานราคาแพงมันจะมีฟังก์ชั่นระบบช่วยเหลือนักปั่นมากกว่ารถธรรมดา ก็ต้องถามใจคุณดูว่า คุณต้องการฟังก์ชั่นต่างๆมาช่วยคุณเวลาปั่นหรือไม่? ถ้าไม่ต้องการมากนัก ก็เลือกราคาธรรมดาก็ได้ (มันก็เหมือนรถยนต์แหละครับ รุ่นแพงก็จะมีระบบโน้นนี้นั่นมากมาย)


สิ่งที่ใช้พิจารณาคุณภาพของจักรยานโดยทั่วไป ก็จะดูเรื่องเฟรม, ระบบเบรค, ระบบโช๊คอัพ ถ้ามีอื่นๆเพิ่มมาอีกราคาก็จะสูงขึ้นอีก นอกจากนี้คุณจะต้องกันเงินไว้สำหรับมอเตอร์ด้วย เพราะมันจะทำให้การใช้งานได้นานกว่ามอเตอร์คุณภาพธรรมดา

7. ทดลองขี่
บางทีสิ่งที่สำคัญที่สุด (และสนุก) ในการซื้อจักรยานไฟฟ้าคือการทดลองขี่ และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ การค้นหาข้อมูล, การอ่านรีวิวจากเว็บไซต์ต่างๆ และการสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มนักปั่นจักรยานไฟฟ้า

และอาจจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณต้องการหรือชอบจักรยานไฟฟ้าแบบนี้หรือเปล่า? มันจะไต่ขึ้นเนินเขาที่คุณไปปั่นได้ดีหรือไม่? มันจะมีฟังก์ชั่นหรือคุณสมบัติตรงตามที่คุณต้องการหรือไม่? หรือมันจะใช้งานได้อย่างที่คุณคิดหรือไม่?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น